Friday, 24 March 2023

ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ถือเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของประเทศไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกข้อผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความหนักใจให้กับหลายฝ่าย เนื่องจากไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับผลที่จะตามมา

หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายผู้ใช้อย่างล้นหลาม ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จ.กรุงเทพฯ ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”

ความพยายามในการยับยั้งกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม กลายเป็นเรื่องยาก และกลายเป็นความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจที่ “ครู” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลหลากเข้ามาในโรงเรียน

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้คุณครูคนจำนวนไม่น้อยจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่บางครั้งก็อาจจะกลายเป็นปัญหาขยายใหญ่โต หากไม่มีมาตรการต่อกรที่ชัดเจน

กัญชาเสรีในโรงเรียน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน

ครูผู้คนจำนวนมากเริ่มสะท้อนว่า ก่อนการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็ประสบพบเจอกับปัญหา นักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งจำนวนมากจะมีสาเหตุจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอาการง่วง หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ ขณะที่คุณครูชอบใช้ วิธีการติเตียน ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ต้องการที่จะอยากมาเรียน เพราะว่ารู้สึกอับอาย และหวาดกลัว

จากการสังเกตของครูหลายคน ตั้งแต่ตอนเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ใช้เวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมลักขโมยของ และใช้กัญชาในนักเรียนมีมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ถึงแม้ครูจะต้องรับมือกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางขจัดปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่คุณครูที่เข้าร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นครูเหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เนื่องจากว่าการเข้าถึงรากของปัญหา จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่แม้ว่าจะถูกบอกว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเจอการซื้อขายกัญชาได้โดยง่าย จึงทำให้ปัญหาด้านการใช้กัญชา ในโรงเรียนเป็นปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัญหาที่คุณครูพบเจอ

ปัญหาข้อหนึ่งที่อาจารย์สะท้อน เป็นการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยยิ่งไปกว่านั้น TikTok ที่นักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลายเป็นข้อมูลด้านเดียวที่บอกว่า การใช้กัญชาจะทำให้อารมณ์ดี ช่วงเวลาเดียวกันคุณครูเองก็ขาดความรู้เรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้คุณครูปราศจากความพร้อมสำหรับการสอน หรือรับมือกับเด็กที่ใช้สารเสพติด

ในทางกลับกัน ครูเล็กน้อยที่ตระหนักถึงความสำคัญของการสอนเรื่องข้อดี-ข้อเสียของกัญชา และพยายามชักชวนเด็กนักเรียนคุยแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการผลักดันและส่งเสริมหรือไม่มีอาจารย์ท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องจากว่าฝ่ายกิจการนักเรียนคิดว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องตลก และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ

ด้วยเหมือนกัน แม้นักเรียนจะสนใจประเด็นนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงวิชาความรู้เรื่องกัญชาได้ เนื่องจากว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม

คุณครูหลายๆคนชี้ว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดของเหตุการณ์กัญชาในโรงเรียน คือทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ ทำให้อาจารย์ปฏิบัติงานลำบาก ครูเหมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ออกศึกแต่ไม่มีอาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่ชี้ให้เห็นทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงกรรมวิธีการรับมือกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างแม่นยำ และไม่ตัดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน

นอกเหนือจากนั้น ภาระงานอื่นๆจำนวนหลายชิ้นที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อาจารย์คนไม่ใช่น้อยเลือกที่จะเฉยเมยต่อเด็กที่มีปัญหา แม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็ส่งผลให้คุณครูหลายๆคนยอมไปในที่สุด

กัญชาเสรี

ทางออกสำหรับทุกคน

ครูที่ร่วมกลุ่มพูดคุยสะท้อนว่า ทางออกของหัวข้อกัญชาเสรีในโรงเรียนเป็น สร้างการทำความเข้าใจที่เปิดกว้าง ให้ผู้เรียนได้ตั้งคำถามกับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ มีการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเรียน ครู และผู้บริหาร เช่นเดียวกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พูดถึงจุดเด่น – ข้อตำหนิของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ง่าย

ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีคุณภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยครูที่ร่วมกลุ่มเสวนามีความคิดเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ เด็กนักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากว่าคุณครูกับเด็กนักเรียนใช้คนละภาษา

นอกเหนือจากนั้น ความนิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี อาจารย์ก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รับ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลให้การเห็นคุณค่าในตนเอง และกลับใจให้ดียิ่งขึ้น ของผู้เรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม

เพราะฉะนั้น การทำงานกับความศรัทธาของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อทำให้เด็กนักเรียนมีคนที่สามารถวางใจและสนทนาได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกไม่มีอันตราย เกิดความไว้ใจและเชื่อใจ นำไปสู่ความรู้สึกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่มากยิ่งขึ้น

สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรจะมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือครูในสถานศึกษาที่กำลังรับมือกับปัญหาด้านการใช้กัญชาของนักเรียน รวมถึงแผนการที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อปกป้องรักษาเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงจุดอ่อนของมัน เหมือนกันกับป้องกันไม่ให้เกิดคือปัญหาที่จะถาโถมเข้าใส่ครู จนถึงอาจารย์รู้สึกหมดพลังกับการจัดการกับปัญหารายวัน และลดทอนศรัทธาของครูที่ตั้งมั่นมาให้ความรู้กับเด็กนักเรียน