ยังแรงไม่หยุด Avatar: The Way of Water ทำรายได้ทะลุ 2 พันล้านเหรียญ ภายในเวลาแค่ 39 วัน ขึ้นแท่นหนังเรื่องที่ 6 ของโลกเท่านั้นที่สามารถทำเงินได้ในระดับนี้
หลังจากเข้าฉายมาได้แค่ 6 สัปดาห์ ภาพยนตร์อวตาร ภาค 2 “Avatar: The Way of Water” หรือ “อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ” ก็ทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์เพียงแค่นั้นที่สามารถทำรายได้จากวิธีขายตั๋วได้สูงระดับนี้
โดยเรื่องที่ทำรายได้ทะลุ 2,000 ล้านเหรียญไปก่อนหน้านี้ ได้แก่Avatar, Avengers: Endgame, Titanic, Star Wars: The Force Awakens และ Avengers: Infinity War
จากรายนามที่เห็นพอๆกับว่า เจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับเพียงผู้เดียวของโลกที่ทำหนังรายได้ทะลุ 2 พันล้านถึง 3 เรื่องด้วยกันหมายถึงAvatar1, 2 และ Titanic
ในส่วนของดารานั้น โซอี้ ซัลดานา ซึ่งรับบท “เนย์ทิรี” ในภาพยนตร์ อวตาร และบท “กามอรา” ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ ของมาร์เวล ก็เปลี่ยนเป็นผู้แสดงเพียงผู้เดียวของโลกด้วยเหมือนกันที่ได้แสดงหนังระดับ 2 พันล้าน ถึง 4 เรื่อง จากทั้งหมด 6 ได้แก่ Avatar, Avatar: The Way of Water, Guardians of the Galaxy, Avengers: Endgame และ Avengers: Infinity War
Box Office Mojo กล่าวว่าในเวลานี้ The Way of Water ทำรายได้ทั้งโลกอยู่ที่ 2,024 ล้านดอลลาร์ ตามหลังหนังทำเงินอันดับ 4 และ 5 ของโลกอย่าง Star Wars: The Force Awakens” (2,071 ล้านดอลลาร์) และ Avengers: Infinity War (2,052 ล้านดอลลาร์) อยู่เพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น และมีแนวโน้มว่าจะแซงได้ในเวลาไม่นานเพราะจนกระทั่งบัดนี้ อวตาร 2 ยังครอบครองอันดับ 1 หนังทำเงินในแถบ อเมริกาเหนือ มาติดต่อกันเป็นอาทิตย์ที่ 6 แล้ว เรียกว่าความแรงยังไม่ต่ำลงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ “อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ” หรือ The Way of Water จะเข้าฉาย เจมส์ คาเมรอน ได้ให้สัมภาษณ์ นิตยสารจีคิว เอาไว้ว่า Avatar2 ถือเป็น “กรณีตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์” เพราะเหตุว่าจะต้องทำรายได้ติดอันดับ 1 ใน 4 ของหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลถึงจะเรียกว่าคุ้มค่าการลงทุน
ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า “จุดคืนทุน” ของหนังประเด็นนี้คงจะอยู่ที่ราว1,500 ล้านดอลลาร์ ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ที่ใช้ CG ทั้งเรื่องก็เลยมีต้นทุนสูงมาก
เดี๋ยวนี้ Avatarภาคแรกที่ออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน ยังดำรงตำแหน่ง “หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล”เอาไว้ได้ที่ 2,900 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วย Avengers: Endgame อันดับ 2 ที่ 2,790 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3หมายถึงTitanic ด้วยรายได้ 2,190 ล้านดอลลาร์
ข้อสรุปน่าทึ่งของ Avatar: The Way of Water (อวตาร วิถีที่สายน้ำ)
เป็นหนังที่ทำรายได้แตะหลัก 2 พันล้านดอลลาร์ ได้เร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก Avengers: Endgame โดยทำได้ในเวลาเพียงแค่ 39 วัน เร็วกว่าAvatar ภาคแรก 6 วัน
ด้วยรายได้ทั่วโลก 2,024 ล้านเหรียญ ทำให้ The Way of Water แปลงเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลอันดับ 6 แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ได้ด้านในสัปดาห์นี้
Hollywood Reporter รายงานว่า The Way Of Water ใช้งบประมาณสำหรับในการสร้างกว่า 350 ล้านเหรียญ ไม่นับรวมค่าการตลาด และค่าประชาสัมพันธ์อีกหลาย สิบล้านเหรียญ ทำให้เปลี่ยนเป็นหนึ่งในหนังที่มีต้นทุนสูงที่สุด เท่าที่เคยมีการสร้างกันขึ้นมา
Avatar 2 เปิดตัวด้วยรายได้ที่น่าผิดหวังในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็น134 ล้านดอลลาร์ ต่ำลงมากยิ่งกว่าตัวเลขคาดการณ์ของทุกฝ่าย แต่กลับทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านเหรียญในเวลาแค่ 2 สัปดาห์หลังออกฉาย
ล่าสุดAvatar: The Way Of Water ครองอันดับ 1 แชมป์บ็อกซ์ ออฟฟิศมาเป็นเวลามากถึง 6 อาทิตย์แล้ว
เปิดคอนเซ็ปต์Avatar 4 และ 5 ตระเตรียมพบการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลา-กลับสู่โลกที่ล่มสลาย
ดูเหมือนกับมหากาพย์Avatar ที่ยืนยาวถึง 5 ภาค กับช่วงเวลามากกว่า 20 ปี จะถูกวางแผนเอาไว้หมดแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหลือเพียงกระแสตอบรับจากแฟนๆเพียงแค่นั้นที่จะเป็นตัวชี้ชะตาว่ามันจะได้ไปต่อไหม หลังจากที่ในภาคแรก แนะนำให้พวกเรารู้จักกับโลกใบใหม่ ภาคที่ 2 ก็ได้เริ่มปูทางแนะนำตัวละครใหม่ๆก่อนที่ภาค 3 จะลงลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อสายต่างๆใน ดาวแพนดอร่า อันแสนงดงาม และตอนนี้พวกเขาเริ่มแย้มให้พวกเรารู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน 2 ภาคสุดท้ายของเรื่องราวแล้วด้วย
สำหรับการให้สัมภาษณ์กับวารสาร Empire โปรดิวเซอร์ จอน แลนทายใจ ได้บอกใบ้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงด้านหลังของมหากาพย์ Avatar ทั้งการ Time Skip หรือการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลา และการนำเรากลับไปยังดาวโลก เขาเล่าถึงเรื่องกลุ่มนี้เอาไว้ว่า
“หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนผ่านช่วงเวลาครั้งใหญ่ในAvatar 4 ในภาคสุดท้ายเราจะกลับไปที่โลกกันครับ มันจะเป็นเรื่องราวของดาวโลกที่ถูกตัดไปจากหนังภาคแรก นำเสนอโลกที่ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง ทั้งปัญหาประชากรล้นโลก และการขาดแคลนทรัพยากรขั้นวิกฤตที่ทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องยาก แต่เราไม่ได้อยากจะให้ภาพเหล่านั้นออกมาสิ้นหวังและไร้ชีวิตชีวาขนาดนั้น หนังชุดนี้จะเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่เราจะแก้ไขมันด้วยครับ”
หากเป็นแบบนั้นจริง ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เราจะได้เห็นเหล่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่ถูกแนะนำตัวในภาคนี้เติบโตขึ้น และกลายเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้จะถูกผลักดันมากยิ่งขึ้นเพราะในภาคที่ 3 จะมีการโชว์ด้านมืดของชาวนาวี ขณะเดียวกันก็จะแสดงให้เห็นด้านที่ดีมากขึ้นของมนุษย์ด้วย ทั้งหมดล้วนนำไปสู่บทสรุปทั้งสิ้น ชวนให้น่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียวว่าหลังจากนี้จะมีอะไรรอพวกเราอยู่บ้าง